
แต่ก่อนผมเกือบอ้วกทุกครั้งที่จะต้องขึ้นเวทีเป็น Speaker หลังๆมานี้ค่อยดีขึ้นเยอะจากการที่เราเริ่มค่อยๆรู้วิธีในการเตรียมตัวเองให้พร้อมขึ้นเรื่อยๆก่อนที่จะต้องไปพูดในแต่ละรอบ
วันก่อนผมได้มีโอกาสไปเป็น Speaker ในงาน RealAI Leader#2 แล้วรู้สึกว่าอยากมาเขียนวิธีการที่ตัวเองใช้เวลาเตรียมตัวไปเป็น Speaker ตามงานต่างๆเรียบเรียงเก็บไว้ เลยเอามาแชร์ให้อ่านกันครับ
ขอออกตัวก่อนว่าผมก็ไม่ได้เป็นวิทยากรมืออาชีพอะไร เลยคิดว่าวิธีการส่วนตัวที่ใช้ใครๆก็สามารถเอาไปปรับใช้หรือทำตามได้ครับ
สำหรับผมเวลาจะไปเป็น Speaker แต่ละครั้ง ผมคิดว่าการเตรียมตัวจะแบ่งออกเป็นช่วงๆได้ตามนี้ครับ
1. ช่วงตั้งแต่รู้ตัวว่าต้องเป็น Speaker
1.1 เตรียมเรื่องความรู้ – ข้อส่วนตัวผมถ้าจะต้องเป็น Speaker โดยปกติแล้วจะต้องเป็นเรื่องที่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองเชี่ยวชาญ และรู้จริงในเรื่องนั้นๆระดับนึง ไม่งั้นจะไม่กล้าไปพูดตั้งแต่แรก ซึ่งการเตรียมตัวเรื่องความรู้ในที่นี้สำหรับผมมันคือการ make sure ว่าเรามีความเข้าใจ และมั่นใจในเรื่องนั้นจริงๆ
1.2 ทำความเข้าใจคนฟัง – ผมจะพยายามหาข้อมูลว่าคนที่เราจะไปพูดให้ฟังเป็นใคร เขามีความรู้ระดับไหน คนส่วนใหญ่ที่ฟังเป็นใคร หลักๆคือทำยังไงให้เรื่องที่เรากำลังจะไปพูด มันมีความใกล้ชิดกับคนฟังมากที่สุด เพื่อให้เขาเข้าใจง่ายขึ้น
1.3 รู้ว่าคนก่อนหน้าพูดอะไร และเรื่องที่เราเล่าจะนำไปสู่อะไร – หลายๆครั้งเวลาไปพูด มันอาจจะเป็นงานสัมมนาที่มีหลายหัวข้อ ทั้งคนที่พูดก่อนหน้าเรา และจะพูดหลังเรา ผมจะพยายามเช็ค Agenda หรือ Course outline ที่เกิดขึ้นก่อนและหลังหัวข้อที่ผมพูดด้วยเพื่อให้รู้ว่าเรื่องที่เราจะเล่า มันจะต่อเนื่องกันมั้ย หรือบางทีมันไปหัวข้อซ้ำซ้อนกันมั้ย
1.4 วางแผนเนื้อหาให้เหมาะสมกับเวลา – โดยปกติแล้วผมจะวางแผนให้เนื้อหาพอดีกับเวลา โดยอาจจะเผื่อเวลาไว้สำหรับ FAQ สักเล็กน้อย แต่ถ้าในกรณีที่ต้องพูดยาวๆ (เกิน 1:30 ชม.) ผมอาจจะมีสต็อคเนื้อหาที่เป็น Case study เผื่อไว้ เพื่อไว้ใช้เล่าให้ยืดขึ้นในบางกรณี ถ้าเห็นว่าเวลายังเหลือ
1.5 การเตรียมสไลด์ – ส่วนนี้ผมว่าแล้วแต่ความถนัดแต่ละคน ส่วนตัวผมไม่ได้เป็นคนทำสไลด์สวย ส่วนใหญ่แล้วก็จะเน้นให้เรียบร้อยมี Alignment
1.6 การทวนเนื้อหาในใจ – ผมทวนเนื้อหาและเรื่องที่จะเล่าในใจ โดยอาจจะมี short note บางเรื่องที่เป็นจุดสำคัญที่ผมอาจจะอยากเน้นแล้วกลัวลืม ผมไม่ค่อยถนัดซ้อมพูดแบบออกเสียง เพราะรู้สึกว่าในสถานการณ์จริงจะถนัดปรับตามคนฟังหน้างานมากกว่า ทำให้การซ้อมพูดมาก่อนกลายเป็นความเกร็งในหลายๆครั้งแล้วยิ่งดูไม่ธรรมชาติ
1.7 การซ้อมเดโม่รันระบบต่าง – ในกรณีผมเวลาเป็น Speaker จะมีพูดเรื่อง Tool และ Technical เพราะงั้นบางทีมันจะต้องมีการเปิด Software เพื่อ Training ดังนั้นผมก็จะมีทดสอบรันจริงทั้งหมดก่อนเพื่อให้เห็นว่าระบบทุกอย่างทำงานถูกต้องตามที่เราวางไว้
2. ช่วงก่อนขึ้นพูด
2.1 เช็คอุปกรณ์ต่างๆ – ผมจะเปิดไฟล์ทุกไฟล์ที่จำเป็นต้องใช้ไว้ เปิด browser ทุกอย่างไว้รอ refresh ก่อนด้วยรอบนึงเพื่อความชัวร์ ถ้ามีจังหวะช่วงเบรกก่อนจะถึงคิวผมพูด ผมจะลองเอาคอมไปเสียบสาย HDMI ลองดูก่อนว่าขึ้นบนจอสกรีนเป็นแบบไหน แล้วปรับให้เรียบร้อย แล้วก็ทดสอบสัญญาณ Pointer ว่าเดินไปได้ไกลแค่ไหน ยิงเลเซอร์ขึ้นจอแล้วยังเห็นมั้ย
2.2 เช็คข้อมูลคนเข้าร่วมสัมมนา – ผมจะถามทีมงานหรือคนที่จัดงานว่าคนที่มาฟังวันนี้ดูเป็นไงบ้าง แอคทีฟมั้ย หรือดูแล้วมีความเข้าใจเนื้อหาที่คนสอนก่อนหน้านี้พูดไปมากแค่ไหน
2.3 ให้กำลังใจตัวเอง – มีบางรอบที่รู้สึกเกร็ง หรือมีอาการประหม่า ผมจะให้กำลังใจตัวเองด้วยการบอกกับตัวเองว่าการที่เรามาเป็นวิทยากรเพราะเรามีความรู้เยอะสุดในห้องนี้แล้ว เพราะงั้นไม่ต้องกลัว เราสบายๆ พยายามเล่าให้คนที่มาฟังเข้าใจ พอทำแบบนี้ผมก็จะรู้สึกผ่อนคลายขึ้น
3. ช่วงระหว่างพูด
3.1 จับเวลาตั้งแต่เริ่มพูดทันที – ผมจะตั้งมือถือนับเวลาไปข้างหน้า เพื่อให้รู้ว่าเราใช้ไปกี่นาทีแล้ว เพราะจะได้รู้ว่าเนื้อหาที่เราพูดอยู่ตอนนี้ มันเร็วกว่า หรือช้ากว่าเวลาที่คิดไว้ จะได้สามารถปรับแผนได้ทัน
3.2 ชวนคนในห้องคุย – ผมรู้สึกว่าถ้าเรามีการชวนคนที่มาฟังคุย มีใส่มุกลงไปบ้างเพื่อให้เกิดเสียงหัวเราะ บรรยากาศโดยรวมมันจะดีขึ้น คนจะให้ความสนใจสิ่งที่เราพูดมากขึ้น เพราะงั้นผมจะค่อนข้างดูจังหวะที่ชวนคนฟังคุยได้ แล้วทำเป็นพักๆ
3.3 ประยุกต์เรื่องเล่าให้เข้ากับคนฟัง – เนื้อหาและความรู้ที่เราเตรียมมามันจำได้ขึ้นใจอยู่แล้ว เพราะงั้นผมจะพยายามเอามาเชื่อมโยงด้วยการยกตัวอย่างให้สอดคล้องกับคนฟังเป็นหลัก เพื่อให้เขาเข้าใจง่ายขึ้น
3.4 มีจุดสรุป หรือ Key Takeaway เป็นพักๆเพื่อให้คนจำได้ – เวลาที่พูดไปเรื่อยๆ มันมีเนื้อหาหรือประเด็นสำคัญเยอะ หลังๆผมจะใช้วิธีเล่าเนื้อหาไปได้ส่วนหนึ่ง แล้วมี Key Takeaway สรุปประเด็นหลักๆไปเลยหนึ่งเรื่อง แทรกไประหว่างการเล่า พอทำแบบนี้ผมสังเกตว่าคนมักจะพยักหน้าตามแล้วเข้าใจง่ายขึ้น มีจุดให้จำได้มากขึ้น และถ้าทำได้ ผมจะพยายามนำสิ่งที่วิทยากรพูดมาก่อนหน้านี้มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการเล่าให้มีความต่อเนื่องกัน เพื่อให้คนฟังเห็นภาพว่าเรื่องที่เราเล่า มันเชื่อมโยงกับเรื่องก่อนหน้านี้ยังไง และในขณะเดียวกันก็จะพยายามบิ้วความสนใจปูให้ไปถึงเรื่องที่คนฟังจะได้ฟังจากวิทยากรคนอื่นต่อหลังจากที่ผมพูดไปด้วย
3.5 ยืดหยุ่นปรับตัวหน้างาน ตามเวลาที่มี – ถ้าเริ่มรู้สึกตัวว่าเล่าเร็วไป เหลือเวลาเยอะไป ให้ชวนคุย แต่ถ้ามีเวลาเหลือน้อยไป ผมจะไม่เร่งพูดให้เร็วขึ้น แต่จะใช้วิธีข้ามเนื้อหาบางส่วน แล้วบอก Key Takeaway ที่เตรียมไว้ไปเลย เพื่อให้เนื้อหาทั้งหมดยังอยู่ภายในเวลาที่กำหนด
4. เมื่อพูดจบแล้ว
4.1 โล่ง – ผมจะรู้สึก เห่ออ โคตรโล่งทุกรอบ ยิ่งรอบไหนรู้สึกตัวเองทำได้ดี จะยิ่งรู้สึกดีมาก
4.2 ขอ Feedback – หลายๆครั้งผมจะขอ Feedback จากคนที่เป็นหัวหน้า หรือคนจัดงาน หรือทีมงานว่าที่พูดไปเป็นไงบ้าง มีอะไรอยากแนะนำมั้ย หรือถ้าส่วนไหนผมรู้สึกยังทำได้ไม่ค่อยดี หรือน่าจะทำให้ดีขึ้นได้ ผมอาจจะลองถามกับทีมดูเลยว่าคิดว่าไอเดียนี้เป็นยังไงบ้าง
4.3 Reflex ตัวเอง – หลังพูดจบในแต่ละครั้ง หลายๆทีผมก็จะมานั่งตกผลึกกับตัวเองอีกทีนึงว่ามันดีมั้ย โอเคมั้ย ถ้ารอบหน้ามีแบบนี้อีกจะทำยังไงให้ดีขึ้นบ้าง ทั้งนี้ส่วนใหญ่การที่จะ Reflex กับตัวเองแบบตกผลึกของผม มันอาจจะเป็นในครั้งที่รู้สึกว่าตัวเองยังทำได้ไม่ค่อยดี แต่ถ้าครั้งไหนออกมาน่าประทับใจเป็นไปตามที่คิดไว้ พวกนี้แปลว่ามันเป็นไปตามแผนที่เราวางไว้ตั้งแต่แรกก็จะไม่ได้มานั่งคิดไรมาก
หมดละครับ คิดว่าบทความนี้ยาวมาก เดี๋ยวตั้งใจไว้ว่าจะทำเป็นแบบอัดวิดีโอและเล่าเรื่องนี้ให้ฟังด้วยอีกทีนึง แล้วเดี๋ยวไว้จะเอามาอัพเดตในคอมเมนต์ครับ
ถ้าใครชอบ หรืออยากถามอะไร หรือมาชวนคุยกันเล่นๆมาได้หมดเลยครับ ยินดีมากๆครับ