ผมได้มีโอกาสไปเข้าคลาส Internal Training Development ของ Cariber ซึ่งเป็นการทำ Workshop เต็มวัน 8 ชม. รู้สึกว่าได้ความรู้หลายอย่างน่าสนใจดี เลยอยากมาเล่าให้ฟังครับ ในบทความนี้ผมใช้ Googlelm ช่วยสรุปสิ่งที่ผมเล่าอัดเป็นคลิปวิดีโอไว้อีกที เพราะงั้นถ้าคนไหนสนใจฟังเต็มๆ สามารถเปิดดูวิดีโอที่ผมแนบไว้ด้วยนี้เลยก็ได้ครับ
ภาพรวมและรูปแบบการเรียนการสอน
- หลักสูตรนี้จัดโดย Cariber ชื่อ “Internal Training Development” โดยคุณณัฐพนธ์ เมธาภาคย์ ซึ่งเป็น Co-founder ของ Cariber
- ในคลาสนี้มีคนมาเรียนประมาณ 30 คน ถูกแบ่งเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละ 5-6 คน ออกเป็น 5 กลุ่ม
- ตลอดทั้งวันรูปแบบการเรียนจะเป็นลักษณะเป็นการบรรยายสลับกับกิจกรรม Workshop ตลอดเวลา ทำให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ไม่รู้สึกเบื่อ และต้องมีสมาธิตลอด (เป็นวิธีการที่ดี)
- ก่อนจะเริ่มบรรยาย ช่วงต้นอาจารย์ให้คนที่มาเรียนแนะนำตัวก่อน หลักๆเพื่อเป็นการ “Break the Ice” เพื่อให้ผู้เรียนที่ไม่รู้จักกันได้ทำความคุ้นเคยกันเร็วขึ้น กิมมิคคือ หลังจากที่คนในกลุ่มได้ทำความรู้จักกันเองแล้ว อ.จะให้แต่ละคนแนะนำตัวแทนเพื่อนในกลุ่มที่นั่งทางด้านขวาของตัวเองให้กับคนในห้องฟัง ทำให้ทุกคนแอคทีฟมาก
เข้าสู่เนื้อหาหลัก
อ.สอนว่าการจัด Training ให้ออกมาดี เขามี Framework ที่ใช้อยู่ ซึ่งเรียงเป็นตัวอักษรย่อได้ว่า ENGAGE ซึ่งตลอดที่เรียนทั้งวัน อ.ก็จะเล่าขยายความให้เข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับแนวคิด และวิธีการใช้ ENGAGE นี้
◦ E – Explore (ค้นหาและเข้าใจปัญหาผู้เรียน)
▪ การสอนเหมือนการขาย: อ. มองว่าการสอนคือการขาย ซึ่งผลิตภัณฑ์คือเนื้อหา การสื่อสารระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารจึงเป็นสิ่งสำคัญ
▪ Mindset ของวิทยากร: ต้องมีความเชื่อมั่นว่าผู้เรียนทุกคนสามารถพัฒนาได้ และตระหนักว่าผู้เรียนสละเวลาอันมีค่ามาเรียน
▪ หลักการทำความเข้าใจผู้เรียน (3 ขั้นตอน)
1. ตั้งต้นจากผู้เรียน: รู้ว่าเขาเป็นใคร (ตำแหน่ง, ความรับผิดชอบ) เพื่อกำหนดขอบเขตเนื้อหา
2. Question Design: รู้ว่าจะถามอะไรเพื่อเข้าใจปัญหาที่ผู้เรียนเจอ เช่น ปัญหาที่เจอ, วิธีแก้ปัญหาที่ผ่านมา, ผลกระทบ, และพื้นฐานความเข้าใจ
3. Insights: นำข้อมูลที่ได้มาวางแผนออกแบบเนื้อหาให้ตอบโจทย์
◦ N – Nominate (สรุปผลลัพธ์ที่คาดหวัง หัวข้อ และผู้สอน)
▪ เริ่มต้นจากภาพปลายทางที่ชัดเจน: กำหนดผลลัพธ์ที่คาดหวังว่าผู้เรียนจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหลังจากการอบรม (ส่วนตัวเรื่องการคิดภาพปลายทางที่ชัดเจนนี้ คล้ายกับในหนังสือ “7 อุปนิสัยของผู้มีประสิทธิผลสูง” ซึ่งเชื่อว่าหลักคิดนี้ประยุกต์ใช้ได้แทบจะทุกเรื่อง)
▪ การเลือกผู้สอน: พิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญในองค์กร และผู้ที่ได้รับความชื่นชมในเรื่องนั้นๆ
▪ ใช้การ “Sharing” แทนการ “สอน”: ในบางกรณีเช่นเรื่องที่ต้องการสอนมีหลายเรื่อง แต่ดันไม่มีใครที่เก่งมากพอจะสอนได้ทุกเรื่อง แล้วบางทีหนักไปอีกคือลูกน้องดันเก่งกว่าหัวหน้า ถ้าว่ากันตามจริงก็ควรเอาลูกน้องมาสอนมากกว่า กรณีแบบนี้การใช้คำว่า “แชร์ประสบการณ์” แทนการ “สอน” ก็จะช่วยให้หัวหน้าและคนตำแหน่งสูงกว่ายอมรับได้ และเกิดการเรียนรู้ร่วมกันได้ดีขึ้น
◦ G – Gather (ออกแบบเนื้อหา เรียบเรียงให้น่าสนใจ)
▪ กรอบแนวคิด 4 ขั้นตอนในการออกแบบเนื้อหา
1. กำหนดผลลัพธ์ที่คาดหวังของผู้เรียน
2. ระบุหัวข้อหลักที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์นั้น
3. ลงรายละเอียดหัวข้อย่อยที่ครอบคลุมหัวข้อหลัก
4. จัดลำดับ Sequencing: นำหัวข้อหลักและย่อยมาจัดลำดับการนำเสนอ
▪ การจัดลำดับเนื้อหา: ควรเรียงจาก ภาพกว้างไปแคบ และจาก เรื่องง่ายไปยาก เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจภาพรวมและติดตามได้ง่าย
▪ ประโยชน์ของ Mini-Workshop: การผสานการบรรยายกับการทำเวิร์กช็อปสั้นๆ โดยใช้โจทย์จากงานจริงของผู้เรียน ทำให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพและจับต้องได้ เป็นเหมือน “สารตั้งต้น” ที่นำไปต่อยอดได้
▪ ความสำคัญของบริบทผู้เรียน: วิทยากรภายนอกหรือ Expert แม้มีความรู้มาก แต่ต้องได้รับข้อมูลบริบทของผู้เรียนที่ชัดเจน เพื่อคัดเลือกเนื้อหาให้เหมาะสม
◦ A – Activate (ออกแบบประสบการณ์การเรียนที่เน้นการมีส่วนร่วม)
▪ ส่วนนี้เป็นส่วนที่อาจารย์ให้ความสำคัญมากที่สุด ใช้เวลาอบรมถึง 2-3 ชั่วโมง
▪ Flight Plan: เป็นแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ที่ละเอียดสำหรับทั้งทีมผู้สอนและผู้ช่วย เพื่อให้การอบรมดำเนินไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ ตั้งแต่ต้นจนจบ
• ทีมงานทุกคนมีบทบาทและหน้าที่ที่ชัดเจน และมีการตรวจสอบเวลากับ Flight Plan ตลอดเวลา
• มีการทำความเข้าใจผู้เรียนล่วงหน้า เพื่อจัดกลุ่มอย่างมีเหตุผล เช่น ไม่ควรจัดคู่แข่งนั่งด้วยกัน หรือผสมผู้เรียนแบบ Introvert กับ Extrovert (อันนี้ อ. ยกตัวอย่างในกรณีที่ Cariber จัดสัมมนาให้บริษัทอื่นๆมาฟังด้วยกัน ก็ต้องคิดเรื่องพวกนี้ด้วย)
▪ รูปแบบการทำ Workshop ที่น่าสนใจต่างๆ
• Role-play (การสวมบทบาท): ตัวอย่างการเล่นบทบาทสมมุติสถานการณ์การให้โดยมีบรีฟรายละเอียดให้สวมบทบาทของคนที่ทำ Workshop เช่น อย่างที่ผมได้ทำ Roleplay ไปจะเป็นสถานการณ์คือการ Feedback ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องกรณีที่ลูกน้องมาทำงานสายทั้งอาทิตย์ แล้วหัวหน้าจะ Feedback ยังไงดี

จุดสำคัญของการให้ Feedback ที่อาจารย์สอนและดีมากๆคือจุดนี้
• หลักการให้ Feedback แบบ SBI (Situation, Behavior, Impact)
◦ S (Situation): อธิบายสถานการณ์ก่อน
◦ B (Behavior): Feedback ที่พฤติกรรม ไม่ใช่ที่ตัวบุคคล
◦ I (Impact): บอกผลกระทบที่เกิดขึ้น
“มองการให้ฟีดแบคเป็นการให้ของขวัญ”: ทัศนคติที่ดีจะช่วยให้การสนทนาเป็นไปในทางบวกและนำไปสู่การพัฒนา
• Brainstorming (ระดมสมอง): หลักสำคัญของวิธีนี้คือเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น และการจะทำให้เกิดสิ่งนี้ได้ บางทีการใช้เครื่องมืออย่าง Post-it ช่วย ก็จะทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นได้ โดยเน้นไปที่การรวบรวมไอเดียเป็นหลัก ยังไม่ต้องไปจัดกลุ่ม หรือคิดว่าไอเดียที่ลิสต์ๆมามันดีหรือไม่ดี
• Gamification (การใช้เกม): การใช้บอร์ดเกมทำให้เวลากับกิจกรรมผ่านไปเร็ว และทำให้ผู้เรียนรู้สึกไม่เบื่อ ถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิผลดีมาก แต่ต้องออกแบบเกมให้เหมาะสม

• นอกจากนี้ยังมี Case Discussion, Quiz, Assignment แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดมาก
◦ G – Guide (ออกแบบบรรยากาศ)
▪ การสร้างบรรยากาศที่น่าเรียน: บรรยากาศที่น่าเรียนไม่ได้หมายถึงแค่ช่วงเวลาที่จัดสัมมนา แต่หมายถึงความน่าสนใจที่จะอยากมาเรียนตั้งแต่ตอนประชาสัมพันธ์ การประชาสัมพันธ์หลักสูตรภายในองค์กร ควรสื่อสารให้ชัดเจนว่าผู้เรียนจะได้รับประโยชน์อะไร และคลาสนี้จะช่วยแก้ปัญหา (Pain Point) ที่พวกเขาเจอได้อย่างไร
▪ Testimonial จากพนักงาน: การให้พนักงานที่เคยเรียนแล้วประสบความสำเร็จมาแชร์ประสบการณ์หรือเป็นผู้ชวนพนักงานคนอื่นๆ มาเรียน เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ
◦ E – Express (สอนด้วยความมั่นใจ)
▪ หลักการนำเสนอ 2S2E (Situation, Solution, Example, Emphasize)
▪ หลักการนำเสนอข้อมูลให้เข้าใจง่าย: ทั้งวิธีการเล่าเรื่องและการทำสไลด์ ควรใช้ภาพ Visual ที่เข้าใจง่าย และมีการจัดลำดับสายตา (Z-pattern) การเน้นข้อความด้วยขนาดตัวอักษร หรือตัวหนา รวมถึงการจัด Alignment และ Balance ให้ดี จะช่วยเสริมให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายขึ้น
• สรุปและสิ่งที่นำไปประยุกต์ใช้ได้
◦ หลักสูตรนี้มอบแนวคิดที่เป็นระบบและเป็นเหมือน “Checklist” ที่ชัดเจนสำหรับการวางแผนและจัด Internal Training
◦ สามารถประยุกต์ใช้ได้กับการเทรนนิ่งบุคลากรภายนอก หรือการเป็น Speaker ในงานอื่นๆ
◦ นอกจากเนื้อหา Internal Training คลาสนี้พอฟังแล้วก็ได้ไอเดียเกี่ยวกับการวางแผนทำสไลด์ การจัดลำดับเนื้อหา และ Storytelling ในฐานะวิทยากรอีกด้วย
จบละครับ ใครสนใจอยากรู้อะไรเพิ่มเติม หรืออยากคุยกับพูมเรื่องนี้ มาชวนคุยได้นะครับ 😀