
เมื่อวานนี้ (25 Sep 2025) เป็นวันแรกที่ RealSmart เริ่มเข้าเปิดการซื้อขายหลักทรัพย์วันแรกในไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ และนับเป็นเวลากว่า 8 ปีที่ผมทำงานที่ RealSmart ทำมาตั้งแต่มีพนักงานทั้งบริษัท 10 กว่าคน จนตอนนี้มีกว่า 200+
ความรู้สึกคือดีใจ รู้สึกพราวมากที่เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้บริษัทโตมาถึงจุดนี้ ยิ่งมาอยู่ในบรรยากาศในงานเปิดตัวยิ่งรู้สึกโคตรดี
ตั้งแต่เริ่มมาทำงานที่ RealSmart ได้ทำเนื้องานหลายอย่างมาก ตั้งแต่ Data Analytics, Social Listening, MarTech, Crisis Management, Marketing, PR, Sale Support, Innovator, Project Owner, Product Owner, Project Management, AI
ที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้คุย ได้เจอกับลูกค้าที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ๆในตลาดหลักทรัพย์เกิน 100 บริษัท เมื่อกี้ผมลองนับเล่นๆเฉพาะใน SET50 ก็มีถึง 35 บริษัทแล้วที่มีทั้ง เป็นลูกค้าอยู่, เคยทำงานด้วยกัน, เคยประชุมด้วยกัน หรือเคยมีโอกาสได้เสนองานด้วย
คิดว่างานที่ทำอยู่เป็นโอกาสที่ดีมากที่ทำให้ได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย และได้พูดคุยกับคนเก่งๆจากหลายอุตสาหกรรมเยอะขนาดนี้
ตัวผมเองก็เคยทำงานประจำมาหลายบริษัท พอถึงจุดหนึ่งที่เราตกผลึกกับตัวเอง ผมคิดว่า ส่วนตัวผมเองมีหลักคิดที่ใช้ในการเลือกบริษัทที่เราจะทำงานด้วยคือ “ผลตอบแทนพอใจ คนให้คุณค่า รู้สึกว่ามีความสุข”
- ผลตอบแทนพอใจ คือเรามีรายได้ที่เรารู้สึกพอใจ ว่ากันตามจริงเราก็ต้องอยากได้รายได้เยอะๆอยู่แล้ว แต่ผมคิดว่าอย่าไปคิดมากขนาดนั้น หลักๆคือเรารู้สึกพอใจที่ได้อยู่มั้ย ถ้าพอใจมันโอเคแล้ว ไม่ต้องคิดเยอะ
- คนให้คุณค่า คือเวลาที่ผมทำงานอะไรก็ตาม ผมชอบความรู้สึกที่ว่าสิ่งที่เราทำมันมี Value มันมี Impact กับบริษัท หรือกับลูกค้า ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เราทำเป็นแบบมันจะมีหรือไม่มีก็ได้ ผมรู้สึกว่าถ้าสิ่งที่เราทำมันมีคุณค่าและมีคนให้ความสำคัญ แบบนี้แหละถึงจะเรียกว่าใช่
- รู้สึกว่ามีความสุข คือมันไม่ได้จำเป็นต้องเฮฮาปาร์ตี้ รู้สึกสนุก หรือมีความสุขตลอด สำหรับผมคือมองเป็นโดยรวมว่าเรารู้สึกแฮปปี้ดีกับงานอยู่ใช่ป่าว ยังรู้สึกสบายใจกับการคิดถึงงานตลอดเวลาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันรึเปล่า ถ้าคิดถึงงานตลอดแล้วไม่ได้รู้สึกเครียดอะไร แบบนี้สำหรับผมก็ถือว่ามีความสุขแล้ว
แต่ในโพสต์นี้ที่ผมเขียน อย่างที่ผมจั่วหัวไว้ตั้งแต่ต้น ผมไม่ได้อยากเขียนในเชิงว่าเราจะหางานหรือบริษัทที่ตอบโจทย์เราได้ยังไง แต่ผมอยากเขียนในมุมที่ว่า “เราจะช่วยทำให้บริษัทเป็นแบบที่ตอบโจทย์เรา” ได้ยังไงมากกว่า โดยส่วนตัวผมมีแนวความคิดแบบนี้
- เป็นตัวอย่างพนักงานที่ดี ที่เราอยากให้คนอื่นๆในบริษัทเป็น – เราไม่ใช่เจ้าของ หรือต่อให้เป็นเจ้าของก็คงไปสั่งให้ทุกคนในบริษัทเป็นแบบที่ต้องการไม่ได้ เพราะงั้นไม่ต้องไปคิดว่าทำไมคนโน้นคนนี้ไม่ทำแบบที่เราคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่ควรจะทำ พอคิดแบบนี้ผมเลยคิดว่าอยากให้อะไรดีขึ้นก็เริ่มที่เราเองก่อนเลย คาดหวังที่ตัวเองมันสบายใจกว่าไปคาดหวังจากบริษัทหรือคนอื่นๆเยอะ และผมเคยได้ยินว่า บริษัทอยากให้พนักงานเป็นแบบไหน ให้ดูว่าบริษัทพยายามโปรโมตหรือซัพพอร์ตคนลักษณะใด เพราะงั้นถ้าสิ่งที่เราทำมันดี มีคุณค่า เดี๋ยวบริษัทเห็นเราก็ได้รับการซัพพอร์ตเอง มันก็เป็นจุดตั้งต้นให้คนอื่นๆในบริษัทอยากจะทำตาม
- ทุกงาน มันต้องมีคนตั้งต้น – ด้วยความที่ผมมาเริ่มงานในยุคที่มีพนักงานทั้งบริษัทแค่ประมาณ 10 กว่าคน เพราะงั้นมันมีงานสำคัญหลายๆอย่างในบริษัทที่มันดูเหมือนไม่ใช่หน้าที่เรา และบางทีมันก็อาจจะไม่ใช่หน้าที่ใครโดยตรงด้วยเพราะคนทั้งบริษัทมันก็มีกันแค่นี้ สุดท้ายมันก็ต้องมีใครสักคนเป็นคนเริ่มต้นรับผิดชอบที่จะทำมัน ผมจะมีแนวความคิดอยู่ในใจว่า “ไม่เป็นไร คงต้องกูเอง” พอเป็นแบบนั้นแล้วเราก็ทำให้เต็มที่ มันอาจจะโคตรยากหรือดูเสี่ยงจะล้มเหลวมากบางทีแต่ในทางกลับกัน ถ้าทำได้ออกมาดี มันจะดีทั้งกับบริษัท และกับตัวเราเอง เพราะเราก็เก่งขึ้น เราก็ได้เครดิตจากสิ่งนี้ และงานนั้นพอเริ่มมีคนตั้งต้นได้ มันก็จะกลายเป็นสิ่งที่กลายเป็น Capability ของบริษัทได้ ว่าเราสามารถจัดการมันได้
- หลายๆงานมีโอกาสแค่ครั้งเดียว ถ้าเราเป็นคนที่จะทำมันได้ดีที่สุด เราต้องลงมือเอง และเสนอตัว – มีหลายอย่างในการทำงานที่สำคัญมากๆ และอาจจะมีโอกาสแค่ครั้งเดียว หลังๆมานี้ผมจะคิดให้ดีตลอดว่า งานนี้ผมควรเสนอตัวทำด้วยตนเองไปเลยมั้ย ยกตัวอย่างเช่นงาน Pitching หรือการพรีเซนส์อะไรบางอย่างกับลูกค้าที่มีผู้บริหารระดับสูงเข้า เพราะถ้าลองคิดดูแล้วว่านี่คือทางเลือกที่ดีที่สุด เราควรต้องเสนอตัว เพื่อทำให้คนในทีมสบายใจ ลดความกังวล เอาสมาธิไปโฟกัสกับการทำงานอื่นๆต่อ ซึ่งในอีกมุมหนึ่ง ผมอยากให้เพื่อนร่วมงานในบริษัทมีความรู้สึกแบบนี้ เพราะถ้าแต่ละคนมีแนวความคิดแบบนี้มันจะเป็น Teamwork ที่ดีมาก คือต่างคนต่างรู้ฝีมือตนเองดี และแสดงออกเพื่อให้ทีมเชื่อใจ
- เร็ว ช้า หนัก เบา เข้าใจ ไม่ยึดติด พร้อมปรับตัวตลอดเวลา – บริษัทผมมีแผนการทำงานชัดเจนทั้งแผนรายปี หรือแบ่ง Phasing ในการทำงาน แต่ก็มีการปรับแผนบ่อยมาก บางทีเพิ่งโฟกัสแผนใหม่ไปไม่กี่วัน ก็มีต้องปรับโฟกัสกันอีกแล้ว แต่เวลาที่เกิดเหตุการณ์ประมาณนี้ขึ้น ผมไม่เคยรู้สึกแย่เลย เพราะผมคิดตลอดว่าทุกครั้งที่ผู้บริหารหรือบริษัทมีปรับแผน หรือปรับทิศทางอะไรสักอย่าง เป็นเพราะคิดมาอย่างดีแล้วว่าการทำแบบนี้ “โดยภาพรวมทั้งองค์กรจะดีขึ้นจริงๆ” เพราะงั้นบางอย่างต้องทำให้เร็ว หรือบางเรื่องที่รีบเร่งทำให้เร็วอยู่ดีๆกลับเปลี่ยนเป็นให้มันช้าได้ ในบางช่วงเวลาที่งานเยอะ งานหนักมากๆอาจจะทำงานดึกๆตลอดเวลาต่อเนื่องหลายอาทิตย์ก็เข้าใจได้ เพราะมันก็จะมีบางช่วงที่มันเบากว่าปกติเหมือนกัน ทั้งหมดทั้งมวลคือผมรู้สึกว่า ผมเข้าใจ ไม่ยึดติด พร้อมปรับตัวตลอดเวลา เพราะการปรับทุกอย่างจะทำให้โดยภาพรวมมันดีขึ้น
- เป็นคนที่ยึดมั่นกับตนเอง แต่ยืดหยุ่นกับคนอื่น – งานทุกอย่างผมอาจจะมีมาตรฐานในใจอยู่สูงระดับนึง มีบางคนในบริษัทจะบอกว่าผมแบบเป๊ะ บางทีดูต้องให้มัน Perfectionist ทุกงานผมจะคิดว่ามันต้องออกมาดี อยู่ในระดับที่เรียกว่าใครเห็นต้องรู้สึกว่าน่าประทับใจ แต่ในทางกลับกันผมจะไม่เอามาตรฐานและวิธีการนี้มาใช้ในการไปคาดหวังหรือกำกับกับงานจากคนอื่น ถ้าต้องทำงานร่วมกับใครแล้วผมรู้สึกว่าเขาทำมาเต็มที่แล้ว แม้มันจะยังไม่ถูกใจผม 100% แต่มันโอเคกับการเอาไปใช้ได้แล้ว ผมคิดว่ามันก็ไปต่อได้ ถ้าจะอะไรมากกว่านี้ต้องเป็นเราเองแล้วที่เข้าไปรับช่วงทำต่อถ้าจะอยากให้มันถูกใจเรา แต่ไม่ใช่ไปบอกให้เขาต้องทำให้ได้ ถ้าอยากให้มันออกมาดี เราลงมือต่อเองได้ แต่อย่าไปกำกับให้คนอื่นต้องทำ ยืดหยุ่นกับเขาหน่อย ถ้าทุกคนคิดแบบนี้มันจะน่าช่วยเหลือกัน
- พยายามเข้าใจคน และไม่จำเป็นต้องเล่นการเมืองในที่ทำงาน – ที่ RealSmart แทบจะไม่มีการเมืองในที่ทำงาน เป็นโชคดีมากที่แทบจะทุกคนที่ทำงานด้วยกัน Nice มาก แต่นานๆทีก็อาจจะเจอบ้างที่มีกลิ่นหรือมีความรู้สึกว่าสิ่งนี้อาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าการเมืองในที่ทำงาน วิธีคิดส่วนตัวผมคือ เฉยๆกับมัน อย่าไปใส่ใจ โฟกัสที่งาน และพยายามเข้าใจคนให้มากขึ้น การที่เราเป็นคนมีโฟกัสกับการทำงานให้ออกมาดีมันจะเป็นเครดิตที่ดีของเราเอง เราไม่จำเป็นต้องไปเล่นการเมืองในที่ทำงาน ในขณะเดียวกันถ้าเรารู้สึกถึงกลิ่นการเมืองในที่ทำงานเมื่อไหร่ ส่วนตัวผมจะรับมือด้วยการคิดในเชิงความสัมพันธ์ ความสนิทน้อยลง แล้วใช้วิธีการทำงานด้วยเหตุและผลแบบมืออาชีพแทน
- มองโลกตามความเป็นจริง แล้วสื่อสารในเชิงบวก – ผมคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนมองโลกในแง่บวก เวลามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผมคิดว่าผมคิดตามความเป็นจริง เป็นเหตุเป็นผล เรื่องแย่ก็คือแย่ไม่ได้คิดว่ามีความจำเป็นต้องไปคิดมองโลกในแง่ดีอะไร แต่ผมคิดว่าจุดสำคัญก็คือ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง เมื่อเรารับรู้อยู่ในใจแบบตามความเป็นจริงแล้ว แต่ในการสื่อสารเราสามารถจะสื่อสารให้มันออกมาตรงกับความเป็นจริงและยังเป็นไปในเชิงบวกได้ เพราะผมรู้สึกว่าการทำแบบนี้ มันจะทำให้บรรยากาศโดยรวมทุกคนมีกำลังใจ และรู้สึกอยากทำให้ดีขึ้น มากกว่าที่จะรู้สึกเฟล หรือรู้สึกคิดเข้าข้างตัวเองจนไม่ได้มีการพัฒนา
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ผมตกผลึกมาจากการทำงานหลายๆอย่างมาจนถึงตอนนี้ พอวันนี้ RealSmart ได้มี Milestone ที่สำคัญเกิดขึ้นผมเลยอยากมาเขียนบันทึกแนวคิดเก็บไว้ครับ